กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย สายป่าน » พฤหัสฯ. 19 ก.ค. 2012 12:51 pm

รออ่านเหมือนกันค่ะ
สายป่าน
 
โพสต์: 130
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 10 ต.ค. 2011 11:22 am

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย krongkan » พฤหัสฯ. 19 ก.ค. 2012 3:59 pm

สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน 555 เริ่มต้นลิเกหน่อยนะคะ ไม่น่าเชื่อว่ากระทู้นี้ดิฉันใช้เวลา
เขียนนานเหลือเกิน เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ชัดเจน อึงๆ อลๆ ประเด็นบางประเด็นเกี่ยวกับตัวเองยัง
ไม่ชัดและเหมือนว่าจะยังรู้สึกอยากให้มันมึนๆ งงๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนอยากให้ ลอยๆ เอื่อยๆ เรื่อยๆ ไหลวน
อยู่ในตัวเองให้นานกว่านี้ แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มชัดเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แม้จะรู้ว่ายังไม่สุด ยังไม่สิ้น ก็ตาม

ดิฉันไปค่ายนี้ส่วนหนึ่งเพราะเพื่อนร่วมทางที่เริ่มกลายมาเป็นกัลยาณมิตร เขาไม่ได้ชวนดิฉันหรอกค่ะ
แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว...ไม่รู้ว่าตอนนี้รู้หรือยัง

แล้วเลยกลายเป็นว่าค่ายนี้ทำให้ดิฉันทำงานอารมณ์กับตัวเองเยอะมาก เยอะมากจนรู้สึกตกใจ
จนต้องมองหาสมดุลย์ให้ตัวเองอีกครั้ง เมื่อเริ่มคิดว่านี่เรากำลังต้องการช่วยลูกอยู่มิใช่หรือ แล้วเรา
จะใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากเกินไปทำไม แต่อีกใจก็ค้านตัวเองว่าสุดท้ายแล้วการจะช่วยให้ลูกใช้ชีวิต
แบบสนิทแนบเนียนไปกับธรรมชาตินั้น ตัวแม่ที่เป็นต้นแบบก็ควรต้องสนิทแนบเนียนไปกับธรรมชาติ
ด้วย ยิ่งเนียนยิ่งดี และดิฉันเองก็ยังไม่เนียนเลย ออกบิดๆ เบี้ยวๆ ตามพื้นอารมณ์ของตัวเองเป็นหลัก
อืม...เห็นมะ กลับมาที่ตัวเองอีกแล้ว ดิฉันพยายามดึงตัวเองออกจากสิ่งที่ติดอยู่ในหัว เพื่อนึกถึง
พัฒนาการของลูกเป็นสำคัญ แต่ก็กลายเป็นการคาดหวังว่าจะไม่คิด และก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ดิฉัน
ยังคงคิดเรื่องนั้นอยู่
สุดท้ายดิฉันก็หนีความจริงไปไม่พ้นว่าเรื่องลูกกับเรื่องแม่ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน เราทั้งคู่ต่าง
ต้องทำงานกับอารมณ์ของตัวเองทั้งนั้น ยิ่งถ้าดิฉันอุดจุดบกพร่องของตัวเองได้แนบเนียนเพียงใด ดิฉัน
ก็จะมั่นใจได้มากขึ้นเพียงนั้นว่าลูกทุกคนก็จะอยู่ได้อยู่ดีในสังคม แม้ในวันที่ไม่มีดิฉันอยู่แล้ว
เอ...คิดไปเขียนไปนี่ก็ได้ความชัดเจนเหมือนกันแฮะ

กลับมาที่เรื่องลูกดีกว่า ไปค่ายคราวนี้ดิฉันได้พบความจริงที่น่าตกใจยิ่งว่าองค์ความรู้ทั้งหมดทั้งมวล
นั้นมีอยู่ในหนังสือของคุณหมอทุกเล่ม แต่ทุกอย่างมีระดับความตื้นลึกหนาบาง และครูพบกับครูแอน
ก็ช่วยขยายความให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยกระบวนการที่จัดการให้ได้มีโอกาสสัมผัสและรู้สึกถึงอารมณ์นั้นๆ
ดิฉันจึงแอบเก็บเคล็ดวิชาได้ว่า หากต้องการรู้จักอารมณ์ทุกอารมณ์โดยละเอียด ทั้งแนวกว้างและแนวลึก
ทุกมิติ เราเองต้องทดลองรู้สึกถึงจึงจะเข้าใจ เราเองต้องละเอียดกับอารมณ์ทุกอารมณ์ เห็นค่ากับอารมณ์นั้นๆ
และต้องเริ่มจากการจับสังเกตอารมณ์อย่างฉับไว รับรู้และคิดถึงเพื่อเข้าใจ
ผลพลอยได้ที่ตามมาสำหรับดิฉันคือการนิ่ง ดิฉันพบว่าตัวเองนิ่งมากขึ้น พอที่จะจับอารมณ์ตัวเองได้
และทดลองจับสังเกตอารมณ์ลูกที่แสดงออกมาเป็นภาษากายให้ละเอียดมากขึ้น

ค่ายนี้เน้นที่ภาษากายนะคะ ตอนอยู่ในค่ายดิฉันแซวครูพบว่าค่ายที่แล้วดิฉันได้เรื่องใหญ่ๆ คือ สมาธิ สติ การฟัง
อย่างแท้จริง เทียบได้กับพัฒนาการข้อ 1 และ 2 ตามแนว FT คราวนี้ได้เรื่องภาษากาย ขั้น 3
คงเหลืออีก 3 ที่ต้องเก็บให้หมด ครูพบหัวเราะ หึหึหึ

กลับมาที่เรื่องภาษากาย ดิฉันได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก็รู้มาแล้ว แต่คราวนี้เหมือนจับ
ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะปล่อยไปเรื่อยๆ อีกต่อไป กลับถึงบ้านดิฉันจึงลงมือทันที ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองทำงาน
อารมณ์กับลูกมากขึ้น ละเอียดกับอารมณ์ของลูกมากขึ้น และมีสติในการทำงานอารมณ์มากขึ้น เหล่านี้
ช่วยให้ดิฉันทำงานง่ายขึ้น ใกล้ชิดกับลูกมากยิ่งขึ้น รู้สึกถึงความรักที่ลูกมีต่อได้ชัดเจนขึ้น ลูกเหมือนเริ่ม
มีภาษากายที่มากขึ้นๆ ซึ่งดิฉันยังคงต้องทำงานเรื่องนี้ต่อไปอีก
อีกอย่างที่ดิฉันได้รับจากค่ายคือดิฉันเริ่มใส่ใจกับขั้นพัฒนาการทุกขั้นอย่างละเอียดเพิ่มมากขึ้น โดยมิ
ได้ไปมุ่งอยู่แต่ขั้นของการพูดจาสื่อสารเท่านั้นแล้ว เหมือนหันกลับมามองใหม่ มาเก็บใหม่ให้หมดในทุกๆ ขั้น
อืม...งานยังมีอีกมาก
แต่ดิฉันเองกลับรู้สึกว่าตัวเองกล้าเผชิญ และรู้อีกว่าแรงใจของตัวเองจะไม่มีวันหมด แต่คงมีวันท้อ เหนื่อย
แล้วดิฉันจะพักเพื่อเดินต่อ

พูดถึงเรื่องการพัก ค่ายนี้สอนให้ดิฉันรู้จักใช้เวลาคุณภาพอยู่กับตัวเอง ด้วยเทคนิคตามความรู้สึกทางกาย
เมื่อใดที่ดิฉันเริ่มใจว้าวุ่น ดิฉันจะเริ่มตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางกาย เพื่อดึงใจตัวเองให้นิ่ง แล้วดิฉันก็
รู้สึกสบาย สิ่งที่กังวลอยู่ก็เหมือนจะได้คำตอบออกมาโดยง่ายดาย เพียงแค่ใจนิ่ง คงเป็นอานิสงค์อีกอย่างของ
การทำสมาธิ เพื่อคงสติกระมัง ดิฉันจึงรู้สึกเหมือนได้พักไปในตัว เหมือนว่าพลังในตัวจะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น
เพียงแค่เรานิ่ง และผ่อนคลาย

สิ่งที่ค่ายนี้ให้ดิฉันอีกอย่าง และเป็นสิ่งที่ดิฉันชอบมากๆ คือการได้พบกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์ในระดับที่
ลึกซึ้ง พึ่งพา ผูกพัน แน่นแฟ้น รักใคร่ จริงใจ (ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีให้สมกับที่รู้สึกค่ะ) ดิฉันประทับใจมาก
มากจนอดไม่ได้ที่จะพาตัวเองเข้าไปวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กลุ่ม บ่อยๆ ถ้าสังเกตได้นะคะ ดิฉันขอใช้คำนี้ว่าทุกท่านเป็น
กัลยาณมิตรในระดับลึกสุดใจ ดิฉันชอบความรู้สึกนั้นจริงๆ ค่ะ และไม่เสียใจเลยกับการตัดสินใจไปค่าย
ครั้งนี้ หวังจริงๆ ว่าจะได้มีโอกาสได้พบเจอกันอีก หรือแม้กระทั่งได้เข้าค่ายร่วมกัน เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้สึก
ดีๆ นั้นไว้เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้ตัวดิฉันเอง

ขอบคุณเพื่อนร่วมค่ายค่ะ
krongkan
 
โพสต์: 141
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 17 ต.ค. 2011 8:36 am

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย kroopob » พฤหัสฯ. 19 ก.ค. 2012 9:53 pm

ก็ยังอยากให้ไปค่าย"ดูแลผู้หล่อเลี้ยง"นะ
น่าจะได้ชุดความรู้ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก
kroopob
 
โพสต์: 61
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 10 ต.ค. 2011 1:42 pm

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย สายป่าน » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 3:44 am

ขอแชร์ค่ะ และขอคำแนะนำจากคุณครูและทุกท่านด้วยนะคะ
ว่าที่เกิดอาการปิ๊งแวบข้างล่างนี้ ถูกทางและถูกเรื่องหรือเปล่าค่ะ :)
หรือว่าการเล่นสมมติ ก็คือแบบฝึกให้เด็กเรียนรู้อารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
การที่ตัวละครของเขาจะรู้สึกอย่างไร แสดงออกแบบไหน
ตัวเขาเองก็คงต้องรู้จักและนึกถึงอารมณ์นั้นออกในระดับหนึ่ง
และยอมรับอารมณ์นั้น จึงนำอารมณ์นั้นมาแสดงออกในการเล่นสมมติได้
การที่เด็กยังไม่ยอมแสดงอารมณ์ โกรธ เสียใจ ผ่านตัวละครเลย เพราะเขายังไม่ยอมรับ
และไม่เข้าใจอารมณ์เหล่านั้น จึงไม่ยอมนำมาใช้
การเปิดพื้นที่ให้เด็กแสดงอารมณ์ผ่านตัวละคร ก็จะช่วยให้เขาได้กลับไปนึกถึงอารมณ์ต่างๆ
และอาจเป็นกลไกที่ช่วยให้เขารู้จัก ลองแทนตัวเองในเหตุการณ์อื่นๆ ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
รับรู้ความรู้สึกคนอื่น ผ่านการเทียบเคียงว่า เออ ถ้าเกิดแบบนี้กับเรา เราก็รู้สึกโกรธ เสียใจ เหมือนกัน
อันจะช่วยให้เขาเข้าใจอารมณ์คนอื่น และอ่านอารมณ์ที่คนอื่นสื่อมายังเขาได้ชัดขึ้น
มาถึงตอนนี้ เริ่ม งง งงกับตัวเอง รู้สึกเริ่มสับสนอลหม่านอยู่ในหัวกับประเด็นนี้แล้ว :roll:
เอาเป็นว่า ขอทิ้งประเด็นไว้ รอคุณครูและทุกท่านช่วยให้ความเห็นด้วยค่ะ
สายป่าน
 
โพสต์: 130
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 10 ต.ค. 2011 11:22 am

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย กิ่งแก้ว » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 7:13 am

เป้าหมายหลัก คือ ทดลอง (เพราะปลอดภัย) ให้มันเกิดขึ้น อยู่กับนานพอที่จะรู้จัก เพื่อให้เข้าใจมัน และทดลองการแสดงออกบางอย่างในเชิงความคิด ส่วนเรื่องเข้าใจคนอื่นเป็นเป้าหมายรอง ๆ ลงไป รวมทั้งเรื่องภาษา ทักษะทางกาย และอื่น ๆ อีกจารนัยไม่หมดค่ะ

โดยสรุปแล้ว การเล่นสมมุติ เป็นเครื่องมือ สำคัญ ที่จะพัฒนาทักษะที่รองรับการเล่นสมมุติที่มีเนื้อหาและอารมณ์ทั้งหลากหลายและลุ่มลึก น้อง ๆ ชีวิตจริงค่ะค่ะ
กิ่งแก้ว
 
โพสต์: 865
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 07 ต.ค. 2011 6:48 pm

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย krongkan » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 9:55 am

วันนี้มีคำถามค่ะ
บางครั้งเราทดลองมีความรู้สึกนั้นๆ และสะท้อนอารมณ์ลูกเพราะคิดว่าเขาน่าจะมีอารมณ์แบบนั้น แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่รู้
แน่ชัดหรอกว่าใช่หรือเปล่า จนลูกเหมือนเออออไปกับเราว่าอารมณ์ประมาณนี้เรืยกว่าอย่างนี้ อันนี้สำหรับอารมณ์ใหญ่ๆ
เช่น โกรธ ชอบ ไม่ชอบ สนุก ฉะนั้นหากเราต้องการความละเอียดของชั้นอารมณ์ เราก็ต้องทดลองมีความรู้สึกที่ละเอียด
และปลีกย่อยอย่างนั้นอีก เช่น อิจฉา ริษยา งอน เบื่อ หงุดหงิด ขุ่นๆ เคืองๆ ฯลฯ เพื่อสอนเพื่อบอกให้ลูกรู้จักอารมณ์
ที่ละเอียดและปลีกย่อยนั้นในสถานการณ์ที่เราคิดว่าลูกน่าจะรู้สึกอย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ลูกรู้จักอารมณ์ที่หลากหลาย
มากพอและเก่งพอที่จะพูดอธิบายความรู้สึกนั้นออกมาเองได้ เราถึงจะช่วยกันเคลียร์ว่าแท้จริงแล้วอารมณ์นั้นมันเรียกว่า
อะไรและมีระดับตื้นลึกหนาบางอย่างไร ใช่ไหมคะ ประเด็นที่อยากถามคือ จำเป็นไหมคะที่ตอนที่เราสะท้อนอารมณ์ลูก
เราจำเป็นต้องอินเข้าไปในอารมณ์นั้นๆ เลยหรือเปล่า คือระดับความเข้าใจของเราที่มีต่อลูก ณ เวลาขณะนั้นเนี่ย จำเป็น
ต้องลึกมากแค่ไหน หรือว่ายิ่งลึกก็ยิ่งถึงใจคะ

ขออนุญาตแชร์แม่สายป่านนะคะ คือถ้าตัวเราเองต้องการเข้าใจและรู้จักอารมณ์ใดใดอย่างลึกซึ้ง เราต้องทดลองรู้สึกถึง
อารมณ์นั้นๆ และอยู่กับมันให้นานพอที่จะเข้าใจว่าเรารู้สึกอย่างไร จากนั้นให้เก็บอารมณ์นั้นๆ เพื่อทำความรู้จักและรับรู้ระดับ
ความแรง ความเบา บนพื้นฐานของระบบรับรู้ต่างๆ ของตัวเอง ซึ่งก็คือการรู้จักตัวเอง ที่ถ้ารู้จักมาก ก็จะอธิบายได้อย่างละเอียด
ถ้ารู้จักน้อยก็อธิบายได้แต่ยังไม่เคลียร์ ซึ่งก็คือการทำ ft กับตัวเองในระดับขั้นเล่นสมมติ ซึ่งสำหรับลูก เราก็คงต้องเปิดเวที
ให้ลูกได้ทดลองมีอารมณ์ต่างๆ ในระหว่างที่มีแม่อยู่ช่วย เพื่อทดลองมีอารมณ์นั้น เพื่อรู้จักและอยู่กับมันให้นานพอที่จะนึกถึง
ทางออกได้ในเวลาที่เจอจริงๆ กับสถานการณ์จริงๆ ที่แม่ไม่ได้อยู่ด้วย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับลูกน่าจะไม่แตกต่าง
อืม..ก็ยังอยู่ในประเด็นการเข้าใจตัวเองอยู่ดี งั้นขอถามบ้างนะคะว่าแล้วกลไกอะไรที่จะทำให้เราเกิดบทเรียนเรื่องการเข้าใจ
คนอื่นคะ

แล้วดิฉันก็นึกถึงหนังสือพุทธธรรม กับการพัฒนาเด็กออทิสติก และรู้สึกว่าควรกลับไปอ่านเพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง หลังจากที่
อ่านอย่างคร่าวๆ มาแล้วเป็นเวลานาน คุณแม่สายป่านคิดเหมือนดิฉันไหมคะ
krongkan
 
โพสต์: 141
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 17 ต.ค. 2011 8:36 am

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย กิ่งแก้ว » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 1:05 pm

คุณหมอกรีนสแปนได้เขียนเตือน เรื่อ งรักษาความพอดีเอาไว้ ในเรื่องการสอบถามเรื่องอารมณ์ ไม่มีใครชอบที่จะให้ใครลุกล้ำเรื่องความรู้สึกส่วนตัวมากจนเกินไป

ดังนั้น หาจังหวะให้ดี ๆ เลือกเวลาที่ "สวย" ทำให้เต็ม ๆ ที่เหลือปล่อยไปบ้าง ทิ้งไว้บ้าง เช่น มีอะไรบอกนะ แม่พร้อมช่วยเสมอ

หรือมองด้วยสายตาข้องใจ เมื่อไม่เข้าใจ มองด้วยสายตา อยากช่วย เมื่อลูกปฏิเสธ

และที่สำคัญ อยากตกร่องความคาดหวังว่าจะช่วยให้ลูกบอกได้ถูกว่ามันเป็นอะไร

รักษาภาพรวมที่ค่อย ๆ ดีขึ้นไว้ค่ะ
กิ่งแก้ว
 
โพสต์: 865
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 07 ต.ค. 2011 6:48 pm

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย krongkan » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 1:50 pm

ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ อ่านคำตอบของคุณหมอแล้วสะท้อนเห็นตัวเองชัดขึ้นทันทีว่า 3-4 วันหลังกลับจากค่ายมาเนี่ย
ดิฉันเองมัวนั่งกังวลอยู่กับการพยายามจะทำให้ทุกๆ ขั้นพัฒนาการนั้นสมบูรณ์ แล้วเลยนึกย้อนไปถึงเมื่อแรกที่เริ่มศึกษา
และเข้าใจ FT ว่าดิฉันเองก็มีคำถามและได้รับคำตอบแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งยิ้มกับตัวเองค่ะ แต่เป็นยิ้มแหะๆ
ประมาณว่า "หนูตกร่องอัตโนมัติอีกแล้วค่ะ" แต่ความรู้สึกนี้ไม่ทำร้ายตัวเองอีกแล้ว เพียงรู้สึกว่ามีกำลังใจและพร้อม
สู้ต่อทันที โลกสว่างขึ้นมาทีเดียว ขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ
krongkan
 
โพสต์: 141
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 17 ต.ค. 2011 8:36 am

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย กิ่งแก้ว » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 3:17 pm

ดิฉันจะกังวลเฉพาะเวลาเด็กมีสัมพันธภาพไม่แน่น และปิดวงรอบการสื่อสารได้ยาก เกินกว่าคนที่ไมได้ศึกษาฟลอร์ไทม์จะพูดคุยด้วย เพราะจะทำให้เขาขาดประสบการณ์ทางอารมณ์ที่หลากหลาย แต่หากพื้นฐานแน่น เขาจะได้ประสบการณ์จะคนนั้น คนนี้ มาหล่อหลอมบนเส้นทางพัฒนาการ กลายเป็นตัวเป็นตนของเขาค่ะ
กิ่งแก้ว
 
โพสต์: 865
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 07 ต.ค. 2011 6:48 pm

Re: กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน

โพสต์โดย สายป่าน » ศุกร์ 20 ก.ค. 2012 4:01 pm

เอ่อม รู้สึกกล้า กล้า กลัว กลัว กับคำว่า ทดลองมีอารมณ์ขณะแม่อยู่ด้วย
ดิฉันอาจจะคิดมากไปตามประสา หรือชอบคิดแบบที่คนอื่นไม่คิดกันก็ได้ว่า
ทดลองมีอารมณ์ เนี่ย คงไม่ต้องถึงขนาดสร้างสถานการณ์ให้เขามีอารมณ์หรอกกระมังคะ
แต่เมื่อเขามีอารมณ์ขึ้นมา เราก็ยอมรับอารมณ์ ก็พอมั้งคะ
เกรงว่า จะไปสร้างสถานการณ์แล้วจะเหมือนไปแกล้งเค้าน่ะค่ะ
แต่ถ้าให้ตัวละครเขาทดลองมีอารมณ์ พอไหวค่ะ
หลงทางอีกแล้วหรือเปล่าเนี่ย
ส่วนเรื่องการเข้าใจ ส่วนตัวมีความรู้สึกว่า ถ้าเข้าใจได้ก็ดี ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
เราเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลยบางที จะเข้าใจคนอื่นก็อาจจะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง
แต่ทีท่าคนข้างๆ ที่บอกให้รู้สิว่า เขาเข้าใจเรานะ หรือเขางง งง แต่อยากช่วยนะ
นั่น น่ะ พวกเราเอง ถึงจะหงุดหงิด ขัดใจ เศร้าใจ เขาก็ยังอยู่ข้างเรา
จะเข้าใจ ไม่เข้าใจ แต่ไม่ซ้ำเติมให้เราแย่ลงไปอีก ก็โอเคนะ
อันนี้เป็นความรู้สึกตัวเอง ผิดหรือถูกช่วยแนะนำด้วยค่ะ
สายป่าน
 
โพสต์: 130
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 10 ต.ค. 2011 11:22 am

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง ถาม-ตอบ